banphuetvnews.weebly.comการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ไปทั่วโลก
หนักหนาสาหัสทีเดียว ณ เวลานี้ ผู้คนติดเชื้อและล้มตายเป็นจำนวนมาก
ไม่สามารถคาดเดาได้เจ้าเชื้อไวรัสร้ายตัวนี้ จะหยุดจองเวรกับมวลมนุษย์เมื่อใด
และแน่นอนได้ทำให้ชีวิตผู้คนเปลี่ยนไป ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงทางอ้อม ในกลุ่มคนที่มีงานทำต้องทำงานอยู่ที่บ้าน
บ้างก็ตกงาน ไม่มีเงิน ชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบาก เพราะธุรกิจหยุดชะงัก
และอีกหลายๆ ปัญหาตามมา
ผลกระทบที่เห็นได้ชัดจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด
ทำให้คนตกงานเป็นจำนวนมาก จากสถานการณ์ที่รุนแรงสาหัสหนักหน่วง
ยิ่งกว่าวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 เพราะได้ส่งผลกระทบกระจายไปทุกกลุ่ม
ตั้งแต่ธุรกิจขนาดกลาง ขนาดเล็กและรายย่อย ไปจนถึงธุรกิจขนาดใหญ่บางส่วน โดยเฉพาะธุรกิจท่องเที่ยวและธุรกิจบริการที่เกี่ยวข้องได้รับผลกระทบรุนแรง คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)
ประเมินว่าจะสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจหลักล้านล้านบาท และภายในเดือน มิ.ย.นี้
จะมีแรงงานตกงาน 7.13 ล้านคน จากแรงงานในระบบประกันสังคมประมาณ 38 ล้านคน คิดเป็น
18.5% ของแรงงานทั้งหมด แรงงานที่ตกงาน แบ่งเป็นธุรกิจบันเทิง คาดจะมีการเลิกจ้าง
6 หมื่นคน, ร้านอาหาร 2.5 แสนคน, สปาและร้านนวดในระบบ
3.96 หมื่นคน สปาและร้านนวดนอกระบบ 2 แสนคน, ธุรกิจโรงแรม
9.78 แสนคน ยังรวมถึงศูนย์การค้าและค้าปลีก คาดจะมีการเลิกจ้าง 4.2 ล้านคน,
ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 7.76 หมื่นคน, สิ่งทอ
2 แสนคน และธุรกิจก่อสร้าง 1 ล้านคน
แรงงานที่อาจตกงานในจำนวน 7.13 ล้านคนนี้ จะเป็นแรงงานที่มีรายได้ต่ำกว่า 2
หมื่นบาทต่อเดือน จำนวน 6.773 ล้านคน คิดเป็น 95% ของแรงงานที่ตกงาน โดยธุรกิจที่ได้รับผลกระทบรุนแรงมากสุดเป็นเอสเอ็มอี
ความน่ากลัวของเชื้อโควิด
หากการระบาดยืดยาวเกินเดือน มิ.ย.นี้ จะลุกลามไปกระทบธุรกิจใหญ่ เช่น ยานยนต์
เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ รวมถึงธุรกิจส่งออกขนาดใหญ่
และนั่นจะทำให้ตัวเลขการตกงานสูงขึ้นกว่าที่คาดไว้“ดร.ภูษิต วงศ์หล่อสายชล”
รองคณบดีฝ่ายบริหาร วิทยาลัยผู้ประกอบการ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย พูดคุยกับ
"ทีมข่าวเจาะประเด็นไทยรัฐออนไลน์" ว่า
เชื้อไวรัสโควิดที่ระบาดหนักจะทำให้โลกเปลี่ยนอย่างแน่นอน
อันดับแรกเมื่อเชื้อโควิดเข้ามา ได้ทำให้พฤติกรรมการดำรงชีพ การดำรงชีวิตของคนเราไม่เหมือนเดิมแล้ว
จากปกติต้องเดินทางไปทำงาน
แต่มาวันนี้คนส่วนใหญ่ต้องเปลี่ยนมาทำงานที่บ้านหรือเวิร์ค ฟอร์ม โฮม
ทำให้การเดินทางต่างๆหายไป และได้ทำให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางหายไปเช่นกัน
แต่กลับกันได้ทำให้ค่าใช้จ่ายทั้งค่าน้ำ ค่าไฟเพิ่มขึ้นมา “ทำงานที่บ้าน
เปิดแอร์ทั้งวัน ได้กระทบต่อเงินในกระเป๋าของพวกเรา"ส่วนวิธีการทำงานจากที่มีการพูดคุยกันในห้องประชุม
ได้เปลี่ยนมาประชุมทางออนไลน์
ซึ่งการทำงานต่อไปนี้ในอนาคตจะไม่ต้องรอใครเข้าห้องประชุมพร้อมๆ กัน
เพราะมีวิธีการประชุมแบบออนไลน์เข้ามาแทนที่ไปแล้ว ดังนั้นจากเดิมที่ออฟฟิศเคยจ่ายสวัสดิการค่าน้ำมันค่าเดินทาง
จะเปลี่ยนมาเป็นค่าน้ำค่าไฟแทนอีกสิ่งหนึ่งที่จะเปลี่ยนไปในเรื่อง “แอสเสท ไลท์” (Asset
Light) เป็นการบริหารสินทรัพย์มากกว่าลงทุนสินทรัพย์ให้เป็นของตัวเอง
อาจเปลี่ยนเป็นการเช่าสำนักงานใช้พื้นที่ที่น้อยลง
เนื่องจากไม่ต้องใช้โต๊ะทำงานเป็นจำนวนมากให้พนักงานทำงานเหมือนที่เคยเป็น
เพื่อลดค่าใช้จ่ายประจำ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น